หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2555

ตอนจบของSuperman

Superman ฉบับแอนนิเมชั่นเรื่องนี้เล่าเรื่องวาระสุดท้ายของซุปเปอร์แมนครับ All-Star Superman เป็นแอนนิเมชั่นในปี 2011 กำกับโดย Sam Liu ดัดแปลงจากซีรี่ย์หนังสือการ์ตูนในชุด All-Star Superman โดย Grant Morrison และ Frank Quitely เนื้อเรื่องของซุปเปอร์แมนในเวอร์ชั่นนี้เป็น story line ใหม่ๆ ที่ไม่เคยถูกเล่าในรูปแบบภาพยนตร์มาก่อน (ซึ่งยังมี story line ทำนองนี้อีกเป็นจำนวนมากครับ) สำหรับผมแล้วแอนนิเมชั่นเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับซุปเปอร์แมนในเวอร์ชั่นที่มีเนื้อหาลึกซึ้ง และน่าสนใจมากที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่เคยดูภาพยนตร์เกี่ยวกับซุปเปอร์แมนมาเลยครับ

ในตอนต้นเรื่อง จากแผนการของเล็กซ์ ลูธอร์ ( Lex Luthor) ซุปเปอร์แมนได้เข้าไปช่วยเหลือนักวิทยาศาสตร์และนักบินอวกาศที่ทำภารกิจนอกโลก จนกระทั่งตัวเองต้องเข้าไปอยู่ใกล้กับรังสีของดวงอาทิตย์มากเกินไป จึงมีผลทำให้เซลในร่างกายเกิดความเสียหายและร่างกายจะต้องแตกสลายไปภายในอีก 1 ปี ซุปเปอร์แมนที่มีเวลาเหลืออีกไม่มาก จึงใช้เวลาในการสะสางภารกิจที่คลั่งค้างอยู่ ที่สำคัญที่สุดคงจะเป็นการเปิดเผยตัวตนกับ ลูอิส เลน (Lois Lane) ผู้หญิงที่เขารัก โดยการพาเธอไปพบกับตัวตนที่แท้จริงของเขาที่ต้องหลบซ่อนจากผู้คนมาโดยตลอด

อย่างไรก็ตามลูอิสยังรู้สึกไม่พอใจและยังคงสงสัยสาเหตุที่เขาปิดบังเรื่องต่างๆ ต่อเธอไว้ภายใต้แว่นตาหนาเตอะของคล๊าก เคนท์ (Clark Kent) ซุปเปอร์แมนได้มอบของขวัญวันเกิดให้กับลูอิสเป็นเซรุ่มที่จะสามารถปรับเปลี่ยนร่างกายให้มีศักยภาพเหมือนกับซุปเปอร์แมนได้ในช่วงเวลา 24 ช.ม. ซึ่งทำให้ลูอิสสามารถลอยตัวในอากาศและมีพละกำลังเหมือนกับซุปเปอร์แมนทุกประการ รวมถึงในช่วงที่เซรุ่มจะหมดฤทธิ์ก็ทำให้มีโอกาสได้เห็นในสิ่งที่มนุษย์โดยทั่วไปไม่มีโอกาสได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นคลื่น รังสี แสง เสียง ดวงดาวร้องเพลง และอะไรอื่นๆ ที่ไม่สามารถระบุได้ จนเธอถึงกับต้องถามซุปเปอร์แมนว่าคุณเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้มาโดยตลอดหรือ และเธอก็ไม่คิดที่จะต่อว่าหรือสงสัยซุปเปอร์แมนที่หลอกลวงเธออีกต่อไป

ตอนจบของSuperman
ตอนจบของSuperman
Superman ฉบับแอนนิเมชั่นเรื่องนี้เล่าเรื่องวาระสุดท้ายของซุปเปอร์แมนครับ All-Star Superman เป็นแอนนิเมชั่นในปี 2011 กำกับโดย Sam Liu ดัดแปลงจากซีรี่ย์หนังสือการ์ตูนในชุด All-Star Superman โดย Grant Morrison และ Frank Quitely เนื้อเรื่องของซุปเปอร์แมนในเวอร์ชั่นนี้เป็น story line ใหม่ๆ ที่ไม่เคยถูกเล่าในรูปแบบภาพยนตร์มาก่อน (ซึ่งยังมี story line ทำนองนี้อีกเป็นจำนวนมากครับ) สำหรับผมแล้วแอนนิเมชั่นเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับซุปเปอร์แมนในเวอร์ชั่นที่มีเนื้อหาลึกซึ้ง และน่าสนใจมากที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่เคยดูภาพยนตร์เกี่ยวกับซุปเปอร์แมนมาเลยครับ

ในตอนต้นเรื่อง จากแผนการของเล็กซ์ ลูธอร์ ( Lex Luthor) ซุปเปอร์แมนได้เข้าไปช่วยเหลือนักวิทยาศาสตร์และนักบินอวกาศที่ทำภารกิจนอกโลก จนกระทั่งตัวเองต้องเข้าไปอยู่ใกล้กับรังสีของดวงอาทิตย์มากเกินไป จึงมีผลทำให้เซลในร่างกายเกิดความเสียหายและร่างกายจะต้องแตกสลายไปภายในอีก 1 ปี ซุปเปอร์แมนที่มีเวลาเหลืออีกไม่มาก จึงใช้เวลาในการสะสางภารกิจที่คลั่งค้างอยู่ ที่สำคัญที่สุดคงจะเป็นการเปิดเผยตัวตนกับ ลูอิส เลน (Lois Lane) ผู้หญิงที่เขารัก โดยการพาเธอไปพบกับตัวตนที่แท้จริงของเขาที่ต้องหลบซ่อนจากผู้คนมาโดยตลอด

อย่างไรก็ตามลูอิสยังรู้สึกไม่พอใจและยังคงสงสัยสาเหตุที่เขาปิดบังเรื่องต่างๆ ต่อเธอไว้ภายใต้แว่นตาหนาเตอะของคล๊าก เคนท์ (Clark Kent) ซุปเปอร์แมนได้มอบของขวัญวันเกิดให้กับลูอิสเป็นเซรุ่มที่จะสามารถปรับเปลี่ยนร่างกายให้มีศักยภาพเหมือนกับซุปเปอร์แมนได้ในช่วงเวลา 24 ช.ม. ซึ่งทำให้ลูอิสสามารถลอยตัวในอากาศและมีพละกำลังเหมือนกับซุปเปอร์แมนทุกประการ รวมถึงในช่วงที่เซรุ่มจะหมดฤทธิ์ก็ทำให้มีโอกาสได้เห็นในสิ่งที่มนุษย์โดยทั่วไปไม่มีโอกาสได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นคลื่น รังสี แสง เสียง ดวงดาวร้องเพลง และอะไรอื่นๆ ที่ไม่สามารถระบุได้ จนเธอถึงกับต้องถามซุปเปอร์แมนว่าคุณเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้มาโดยตลอดหรือ และเธอก็ไม่คิดที่จะต่อว่าหรือสงสัยซุปเปอร์แมนที่หลอกลวงเธออีกต่อไป.

Supermanตอนสุดท้าย
Supermanตอนสุดท้าย

วันเวลาช่วงสุดท้ายของซุปเปอร์แมน เขายังต้องเผชิญกับเหล่าร้ายและโจทย์เก่าๆ ที่เข้ามาวอแวกับชีวิตของเขา และชาวโลกอีกเล็กน้อย อาทิ สัตว์ประหลาดจากแกนโลก, Samson, Atlas, Ultraphinx, Solaris รวมถึงยังต้องเผชิญกับคู่ปรับเก่าอย่าง เล็กซ์ ลูธอร์วายร้ายอัจฉริยะที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตของซุปเปอร์แมนมาอย่างยาวนาน ลูธอร์สามารถแหกคุกออกมา และพยายามที่จะหาทางกำจัดซุปเปอร์แมนเพื่อครอบครองโลกให้ได้อีกครั้ง เขามีโอกาสได้ใช้เซรุ่มแบบเดียวกับลูอิสและมีพลังพิเศษเหมือนกับซุปเปอร์แมน แต่เมื่อลูธอร์มีพลังดังกล่าว เขาก็ได้พบกับสิ่งที่ซุปเปอร์แมนได้เห็นมาตลอดผ่านสายตาแบบอภิมนุษย์ ทำให้เขารู้สึกสำนึกผิดและล้มเลิกความคิดที่จะทำเรื่องเลวร้ายต่างๆ ต่อโลกอีก

เรื่องราวของซุปเปอร์แมนตอนนี้ทำให้ผมนึกถึงปรัชญาของเพลโต (Plato) ที่อธิบายทฤษฎีแบบ (Form Theory) ของเขา ไว้ในนิทานเรื่องถ้ำ (The Allegory of the Cave) ที่เพลโตเปรียบมนุษย์ที่ไม่สามารถรับรู้ถึงโลกที่แท้จริง (โลกของแบบ) เพราะถูกพันธนาการไว้ในถ้ำและบังคับให้มองแต่เงาสะท้อนของโลกที่แท้จริงบนผนังถ้ำเท่านั้น เพลโตเปรียบเงาที่ผนังถ้ำกับโลกที่ปรากฏให้มนุษย์โดยทั่วไปรับรู้ และโลกภายนอกถ้ำคือโลกแห่งแบบหรือเป็นโลกที่แท้จริง โดยมีแต่ผู้ที่มีปัญญาเท่านั้นที่จะเข้าใจถึงโลกของแบบหรือโลกที่แท้จริงได้

ในนิทานเรื่องถ้ำของเพลโต คนที่มีโอกาสออกไปนอกถ้ำพยายามที่จะชักชวนให้คนที่อยู่ภายในถ้ำออกไปสู่โลกที่แท้จริงแต่ก็ถูกปฎิเสธ ซุปเปอร์แมนเป็นตัวแทนของ “อภิมนุษย์” (Friedrich Nietzsche ก็เรียกบุคคลที่เหนือมนุษย์ว่า Superman เช่นเดียวกัน) ผู้ที่มีโอกาสได้เห็นในสิ่งที่มนุษย์โดยทั่วไปไม่มีโอกาสได้เห็น เขาจึงรับรู้ในสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถรับรู้ได้ ซึ่งสิ่งนี้เป็นแก่นที่สำคัญที่สุดในเรื่อง Superman นั่นคือ เรื่องราวของอภิมนุษย์ที่ต้องอยู่ร่วม และคอยปกป้องมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ด้อยกว่าทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำได้ง่ายๆ เลย


ผมคงไม่สามารถเดาได้ว่าซุปเปอร์แมนเห็นอะไรที่อยู่รอบๆ ตัวทั้งหมดนะครับ เฉพาะแค่ที่ในเรื่องกล่าวถึงไม่ว่าจะเป็น คลื่น รังสี แสง เสียง เสียงร้องเพลงของดวงดาว มิติของเวลา มิติของพื้นที่ สิ่งที่เชื่อมโยงมนุษย์แต่ละคนเข้าด้วยกัน ซึ่งอาจจะเป็นโลกของแบบที่เพลโตกล่าวถึง หรือเป็นโลกในรูปแบบที่ Dr.Manhattan ในการ์ตูนเรื่อง The Watchmen ได้มีโอกาสเห็น แค่เฉพาะที่กล่าวถึงในเรื่องนี้ โลกของซุปเปอร์แมนก็ทำให้ลูธอร์ได้เห็นว่าอะไรเป็นอะไร (คำพูดของซุปเปอร์แมน) และการที่ซุปเปอร์แมนได้มีโอกาสเห็นความจริงเช่นนี้มาโดยตลอด อะไรทำให้เขาเลือกที่จะปกป้องและอยู่ร่วมกับมนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่ขาดๆ เกินๆ สายพันธุ์นี้ด้วยความทุ่มเทตลอดมา

จริงๆ แล้วการ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่ของอเมริกันเกือบทุกเรื่องต่างก็มี story line ที่แตกแขนงออกไปจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น Batman หรือทางด้าน Marvels Comic อาทิ X-Men, Spiderman, Fantastic Four ฯลฯ ตัวอย่างเรื่อง Batman พอหยิบมาทำเป็นเวอร์ชั่นภาพยนตร์ที่ไรก็มักจะไปหยิบเอา story line ในช่วงที่คนรู้จักดีอยู่แล้วมาพูดถึง อาทิ เรื่องราวของ Joker , Cat women, Two-Face ทั้งๆ ที่เนื้อเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงหลังๆ หรือ story line อื่นๆ ที่แตกแขนงออกไปนั้นล้วนแล้วแต่เป็นวัตถุดิบชั้นเยี่ยมในการเล่าเรื่องราวของซุปเปอร์ฮีโร่ในแบบใหม่ ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ Hollywood น่าจะหยิบ story line ใหม่ๆ ที่มีเนื้อหาจริงจังและไม่เคยถูกเล่ามาก่อนมาทำในรูปแบบภาพยนตร์ ก็คงจะช่วยสร้างสีสันให้กับหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เหมือนกับที่ The Watchmen เคยทำสำเร็จมาแล้วครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น